จาก mobile first เป็น AI first
ใครสนใจการลงทุน ควรจับตา Google (Alphabet) เอาไว้ตาไม่กระพริบเลยนะคะ ยักษ์ใหญ่นี่ต้องการไปกับกระแส 4.0 แบบเกาะแน่ๆเลย
ส่วนเมย์ เป็นแฟนคลับกูเกิ้ลอยู่แล้วจ้า
GOOGLE... จากเว็บค้นหา สู่อาณาจักรผู้ฟูมฟักธุรกิจ...ALPHABET
ในปัจจุบันนี้ google เป็นแค่หนึ่งในบริษัทลูกของ Alphabet แต่ยังคงเป็นบริษัทที่สร้างรายได้กว่า 99% ของบริษัทแม่ โดยรายได้ส่วนใหญ่มากจากค่าโฆษณา
ในตอนแรกที่ google เป็นแค่เพียงเว็บค้นหา และค่อยๆพัฒนาจนกระทั่งสามารถเข้าถึงใจผู้ใช้งานทั่วโลก สิ่งที่ google ได้ตระหนักจากผลงานตัวเองคือ การสร้างความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงข้อมูลให้แก่คนทั้งโลก ในอดีตนั้นข้อมูลมีค่ามากกว่าทอง เก็บรักษายาก บันทึกยาก และส่งทอดให้แก่กลุ่มคนเฉพาะ ยกตัวอย่าง เช่นการศึกษา เด็กทุกคนต้องไปโรงเรียน เข้ามหาลัย เพราะความรู้ และข้อมูลอยู่แต่ที่นั้น แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไปแล้วอย่างที่เรารู้กัน
ดังนั้น google จึงได้วางตัวเองว่า จะเป็นบริษัทที่บริหารข้อมูลของโลกนี้
เริ่มจาก Google รู้ดีว่าก่อนปี 2006 ข้อมูลมหาศาลมิได้อยู่บนอินเตอร์เน็ต และไม่ได้มีการบันทึกไว้ ส่วนที่บันทึกไว้ก็อยู่ในหนังสือ หลากหลายภาษา ดังนั้นบริษัมจึงเริ่มทำการสแกนหนังสือ และแปลภาษาต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลเหล่านั้นมาอยู่บนอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งการมาถึงของโทรศัพท์มือถือที่มีระบบปฏิบัติการ android ยุคใหม่ก็เริ่มขึ้น
MOBILE FIRST!!!
ในปี 2010 Eric Schmidt CEO ของ google ในขณะนั้นได้ประกาศว่านี่เป็นยุคที่ต้องให้ความสำคัญกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นอันดับหนึ่ง มุมมองที่เปลี่ยนไป เมื่อโทรศัพท์มีระบบปฏิบัติการ สามารถเข้าถึงอิเตอร์เน็ตได้ มีการพัฒนาหน่วยความจำ ความเร็วในการประมวลผล นี่คือ คอมพิวเตอร์พกติดตัว
Google รู้ดีว่าข้อมูลมิได้อยู่ในรูปของตัวหนังสือเท่านั้น แต่ยังอยู่ในภาพ และวีดีโอด้วย ดั้งนั้นจึงทำการซื้อบริษัท YOUTUBE ในปี 2006 ท่ามกลางเสียงคัดค้าน โดยที่มือถือ และการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของคนทั่งโลกมีราคาถูกลงยิ่งส่งเสริมให้ Google โตอย่างแข็งแกร่งจนปัจจุบันรายได้จาก youtube สูงกว่าส่วนงานอื่นของบริษัททั้งหมด
การพัฒนาประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือ ยังทำให้ google เก็บข้อมูลมหาศาลที่ไม่เคยมีใครเก็บได้มาก่อน เช่น คนแต่ละคนใช้เน็ตนานเท่าไหร่ ไปไหนมาบ้าง ระยะทางเท่าไหร่ มีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ และยังสามารถเชื่อมต่อโลกความจริงกับอินเตอร์เน็ตได้อย่างลงตัว เช่น google map ทำให้รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่ ทางไหนดีที่สุด รถประจำทาง หรือรถไฟที่คุณรออยู่ตรงไหน ตอนนี้พึ่งแค่เริ่มต้นมีข้อมูลอีกมหาศาลที่สำคัญ และยังไม่สามารถเก็บได้ เมื่อมีข้อมูลมหาศาลอยู่ในมือแต่ถ้าไม่สามารถใช้งานข้อมูลเหล่านั้นได้ ข้อมูลก็ไร้ค่า
Sergey Brin และ Larry Page ผู้ก่อตั้ง Google โดยส่วนตัวพวกเขาเป็นนักประดิษฐ์ มีความสนใจในเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก จึงมีการซื้อบริษัทอื่น และลงทุนใน START UP มากมาย ด้วยองกรณ์ที่ขนาดใหญ่ขึ้นทำให้การบริหารงานไม่มีประสิทธิภาพ จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรณ์ครั้งใหญ่
ในปี 2013 Larry Page ตัดสินใจลงจากตำแหน่ง CEO เพื่อมาดูภาพรวม และเขากับ Sergey Brin จะได้ไปพัฒนานวัตกรรมที่เขาสนใจ ให้โอกาสคนที่เหมาะสมกว่ามาบริหารแทนนั่นคือ Sundar Pichai
ปี 2014 Sundar Pichai ประกาศปรับโครงสร้างบริษัท ตั้ง ALPHABET เป็นบริษัทแม่ และ google เป็นบริษัทลูก โดยแบ่งแยกดังนี้
- GOOGLE ประกอบด้วย google ads, google cloud(พวก G suits), google maps, android, youtube, hardware และโครงสร้างพื้นฐาน
-GV ลงทุนใน START UP
- CAPITALG ลงทุนในบริษัทต่างๆ
- WAYMO รถไร้คนขับ
- DEEPMIND พัฒนา A.I.
- CALICO ศึกษาความเสื่อมของเซลล์ประสาท และมะเร็ง เพื่อชีวิตที่ยืนยาว
-ฯลฯ
ทำให้บริษัทมีการบริหารงานที่คล่องตัวขึ้น และยังคงการทำงานแบบ START UP ทำให้วิจัย และพัฒนาสิ่งต่างๆได้อย่างดี
เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาถึงจุดที่สามารถเก็บ และประมวลผลข้อมูลได้ทันที ต้องขอบคุณ โครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของ CLOUD COMPUTER และ ชิฟประมวลผล TPU (Tensor Processing unit)ที่ Google พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งเร็วกว่า GPU หลายเท่า ทำให้ยุคใหม่ของ Google ก็มาถึง
ยุค MOBILE FIRST ไปสู่ยุค A.I. FIRST 2017
Sundar Pichai ได้ประกาศในงาน google I/O 2017 ว่า GOOGLE ยังคงมีจุดมุ่งหมายจะบริหารจัดการข้อมูลของทั้งโลก และ ALPHABET จะเป็นบริษัทที่ฟูมฟักธุรกิจใหม่ๆ เพื่อประโยชน์แก่คนจำนวนมาก
โครงการที่ GOOGLE ทำต้องส่งผลต่อคนอย่างน้อย 100 ล้านคน
บริษัทแสดงให้เห็นตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมาถึงการคิดใหญ่ เพื่อทำให้โลกดีขึ้น การส่งมอบคุณค่าบางอย่างให้ชีวิตผู้อื่นดีขึ้นย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี
งบการเงิน
งบดุล
ปี 2014 -2018 การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ละส่วนผู้ถือหุ้นสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์สภาพคล่องสูง ส่วนหนี้สิน เพิ่มขึ้นไม่มากในแต่ละป้สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของธุรกิจ
เป็นที่น่าสนใจ บริษัทถือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสดสูงขึ้นเรื่อยๆ จาก 6.34 B$ ในปี 2014 เป็น 109.1 B$ ในปี 2018
การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ทั้งหมดในปี 2018 มาจากการประเมิณมูลค่าเครื่องมือ และอุปกรณ์ ถึง 23.4 B$ ทำให้สินทรัพย์โดยรวมสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านๆมาอย่างมีนัยยะสำคัญส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน
หนี้สินอยู่ในระดับต่ำ 55.16 B$ เพิ่มขึ้นมาจากปีที่แล้ว 10 B$ จากค่าใช่จ่าย และผลตอบแทนค้างจ่าย
จากงบดุลบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งมาก หนี้สินต่ำ ความสามารถในการชำระหนี้สูง แต่มีส่วนที่ต้องระวังคือ การเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ อุปกรณ์ และเงินลงทุน อาจเปลี่ยนแปลงอย่างมากได้เนื่องจาก บริษัทมีบริษัทลูกอยู่เยอะ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมต่างๆมากมายภายใต้บริษัท ดังนั้นถ้าส่วนงานใดสำเร็จอาจส่งผลให้สินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ และถ้าหน่วยงานใดล้มเหลว หรือไม่เป็นที่ต้องการของตลาดแล้วอาจส่งผลให้สินทรัพย์ลดลงอย่างมากเช่นกัน
งบกำไรขาดทุน
ตั้งแต่ปี 2014 – 2018 รายรับเติบโตดี 20%ต้นๆมาตลอด สอดคล้องกับกำไรสุทธิ ยกเว้นในปี 2017 ที่กำไรสุทธิตกถึง เกือบ 36% เนื่องจากกฏหมายภาษีและการจ้างงานซึ่งไม่ได้จ่ายเงินจริง ทำให้ปี 2018 กำไรสุทธิต่อหุ้นโต 144% เมื่อเทียบกับปี 2017
กำไรสุทธิของบริษัทมาจาก GOOGLE มากกว่า 99.5% ซึ่งเป็นรายได้จากโฆษณาสูงถึง 85%
ในรายระเอียดพบว่า มีรายได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์โตสูงถึง 62% ในปี 2018 แต่ราคาโฆษณาต่อคลิก ติดลบสูงขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ปี 2014 ที่ 11% และ 25% ในปี 2018
โดยที่รายจ่ายหลักๆมาจาก TAC (ค่าธรรมเนียมจากการเชื่อต่อแพลตฟอร์ม) และส่วนแบ่งค่าลิขสิทธิ์ ส่วนค่าใช้จ่ายทั่วไป ค่าวิจัยและพัฒนายังสามารถควบคุมได้ดีอยู่ในค่าเฉลี่ยระยะยาว ส่วนรายได้อื่นๆโตถึง 25% แต่มีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้รวม
งบกระแสเงินสด
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน มีการให้กู้ยืมสูงขึ้นถึง 6.28 B$ ในการดำเนินงาน แต่กระแสเงินสดยังเป็นบวกกว่าปีก่อน 10 B$ เนื่องจากกำไรจากการดำเนินงาน
กระแสเงินสดจากการลงทุน ปี 2018 บริษัทลงทุนในเครื่องมือ ที่ดิน และการซื้อบริษัทสูงถึง 13.2 B$ แต่ในปี 2016 และ 2017 เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่จดทะเบียนมีราคาตลาด
กระแสเงินสดจากการจัดหาทุน ปี 2018 มีกาใช้เงินจากการจัดหาทุนมากขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 4 B$ ซึ่งเกิดจากการซื้อหุ้นคืน
จากข้อมูลทั้งหมดพบว่า บริษัทยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีเนื่องจากกำลังจะเข้าสู่ยุค digital economy และธุรกิจอื่นๆ ของ GOOGLE ทั้ง youtube และ cloud ก็ยังสามารถเติบโตได้ดี และเป็นอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัว รวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ เช่น android ไปกับ IOT และ SMART CITY ธุรกิจเกมส์ รถยนต์ไร้คนขับ โดรนส่งของ อุตสาหกรรมเหล่านี้มีขนาด มากกว่า 100B$ ในปัจจุบันและโตขึ้นได้อีกหลายเท่าตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แม้ว่าจะเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง และมีโอกาสที่จะเติบโตในอนาคต แต่ส่วนความเสี่ยงเองก็มีไม่น้อยเช่นกัน
- อุตสาหกรรมนี้มูลค่าบริษัทขึ้นอยู่กับคนการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร หรือการถูกซื้อตัวอาจกระทบกับบริษัทอย่างมาก
- การแข่งขันในอุตสาหกรรมสูงมาก การที่ค่าโฆษณาลดลงต่อเนื่องคาดว่าน่าจะมาจากบริษัทอีคอมเมอร์ส อย่าง AMAZON ที่ผู้บริหารบอกว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในธุรกิจโฆษณา เนื่องจากตัว อีคอมเมอร์ส เองในแฟลตฟอร์มมีทั้งผู้ซื้อขายอยู่แล้ว และเจ้าของแพลตฟอร์มยังมีทั้งข้อมูลผู้ซื้อ และผู้ขาย ทั้งยังสามารถในส่วนลด หรือสิทธิพิเศษบางอย่างแก่ทุกคนที่ใช้ได้ ได้นั้นการเข้าสู่ธุรกิจโฆษณาของ AMAZON เป็นเรื่องง่าย ต้นทุน และความเสี่ยงก็ต่ำมาก อาจบีบให้ GOOGLE ต้องเข้ามาลุยในอุตสาหกรรมที่ตัวเองไม่ถนัด
- การละเมิดลิขสิทธิ์ และการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอื่น
- การใช้เวลาในการสร้างการรับรู้แก่คนทั่วไป และตลาด อาจต้องใช้เวลานานสำหรับเทคโนโลยีใหม่ๆ
ดั้งนั้นการติดตามศึกษาบริษัทต่อไปในอนาคตจึงมีความน่าสนใจมาก
สรธร